รู้หรือไม่...การมองจอในที่มืด มีอันตรายกับดวงตาคุณขนาดไหน ?
วันที่เผยแพร่ 06 ส.ค. 2562
การมองจอในที่มืด มีอันตรายกับดวงตาคุณขนาดไหน , blue light“ปัจจุบันเราใช้อุปกรณ์ดิจิทัลมากขึ้น ทำให้บางครั้งเราไม่อาจหลีกเลี่ยงการใช้งานในที่มืดหรือในที่สภาวะแสงน้อยได้ ” นอกจากอันตรายจากรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) ในแสงแดดที่เราต้องเจอทุกวันแล้ว แสงอีกประเภทที่น่ากลัวและอยู่ใกล้ตัวเราในชีวิตประจำวัน แต่หลายคนยังไม่ตระหนักถึงอันตรายมากนัก คือแสงจากอุปกรณ์ดิจิทัลต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นแสงไฟ LED แสงจากหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์ แสงที่อุปกรณ์เหล่านี้ปล่อยออกมามีชื่อเรียกง่ายๆว่า แสงสีน้ำเงิน (Blue Light) แสงสีน้ำเงิน (Blue Light) พบได้ทั้งจากในธรรมชาติ และจากสิ่งประดิษฐ์ที่มนุษย์สร้างขึ้น การที่มนุษย์มองเห็นท้องฟ้าเป็นสีฟ้าก็เพราะในธรรมชาติมีแสงสีน้ำเงินนั่นเอง แสงสีน้ำเงินมีความยาวคลื่นประมาณ 380-500 nmเป็นความยาวคลื่นที่สั้นที่สุด พลังงานมากที่สุด และสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า งานวิจัยของทางฝั่งอเมริกาและยุโรปหลายชิ้น รวมถึงงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด พบว่า แสงสีน้ำเงิน แบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ
- แสงสีน้ำเงิน (Blue Light) ชนิดที่เป็นอันตราย คือ แสงสีน้ำเงินอมม่วง ความยาวคลื่น 380-460 nm เป็นแสงสีน้ำเงินที่อันตรายต่อดวงตา เสี่ยงต่อการเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อม (Age-Related Macular Degeneration : AMD) พบได้มากจากหน้าจออุปกรณ์ดิจิทัล และหลอดไฟ LED แสงจากหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์
- แสงสีน้ำเงิน (Blue Light) ชนิดที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย คือ แสงสีน้ำเงินอมเขียว ความยาวคลื่น 470-500 nm เป็นแสงสีน้ำเงินที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย โดยเกี่ยวข้องกับการทำงานของนาฬิกาชีวิตมนุษย์ เช่น ช่วยให้ร่างกายตื่นตัวในเวลากลางวัน และนอนหลับในเวลากลางคืน รวมถึงแสงสีน้ำเงินอมเขียวได้ถูกนำมาใช้ทางการแพทย์ เช่น การรักษาโรคซึมเศร้า การรักษาสิว เป็นต้น
- หลีกเลี่ยงการใช้อุปกรณ์ดิจิทัลในเวลากลางคืน ในที่มืดหรือในสภาวะแสงน้อย
- ลดความสว่างของหน้าจอ ไม่ควรเปิดแสงสว่างหน้าจอสูงสุด
- ในการใช้อุปกรณ์ดิจิทัลทุกๆ 2 ชม. ควรพักสายตาอย่างน้อย 5-10 นาที
- หากมีอาการตาแห้ง ให้กระพริบตาบ่อยขึ้น หรือหยอดน้ำตาเทียม
- เลือกใช้เลนส์แว่นตาที่ป้องกันแสงสีน้ำเงินจากอุปกรณ์ดิจิทัล และควรเลือกชนิดที่กรองเฉพาะแสงสีน้ำเงินที่ไม่ดี และปล่อยให้แสงสีน้ำเงินที่ดีผ่านเข้ามาได้
- รับประทานอาหารที่มีส่วนช่วยในการบำรุงสายตา อาทิเช่น ลูทีน ซีแซนทีน ซึ่งพบได้ในผักและผลไม้สีเหลือง สีส้มหรือบิลเบอร์รี่ (Bilberry) หนึ่งในผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ซึ่งมีงานวิจัยบางส่วนพบว่าการรับประทานสารสกัดจากบิลเบอร์รี่ช่วยลดอาการตาล้าที่เกิดจากการเพ่งมองจออุปกรณ์ดิจิทัลเป็นเวลานาน
- ตรวจวัดสายตาหรือพบจักษุแพทย์ปีละ 1 ครั้ง เพื่อตรวจสุขภาพดวงตา